Uncategorized

สร้างโอกาสในธุรกิจด้วยการจดทะเบียน

จดทะเบียนบริษัทดีอย่างไร?

การจดทะเบียนเป็นบริษัทจะสร้างความได้เปรียบให้กับองค์กรในมิติต่าง ๆ ดังนี้

1. ความน่าเชื่อถือ การจดทะเบียนบริษัทจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรได้ โดยมีสถานะเป็น “นิติบุคคล”

2. คุ้มครองความรับผิดชอบของเจ้าของธุรกิจ เพราะความรับผิดชอบจะเป็นของบริษัท เช่น ในกรณีที่เป็นหนี้สินของกิจการ เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดทรัพย์สินส่วนตัว
ของเจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นได้

3. ความได้เปรียบด้านภาษี

– มีโอกาสเสียภาษีต่ํากว่า เพราะสามารถหักค่าใช้จ่ายตามจริง
– ไม่ต้องเสียภาษีในกรณีที่ขาดทุน
– ได้รับการยกเว้นภาษีในกําไร 3 แสนบาทแรก
– อัตราภาษี 15% ในกรณีที่กําาไรไม่เกิน 3 ล้านบาท

4. ความได้เปรียบด้านการสนับสนุน มีโอกาสที่ในการพิจารณาสินเชื่อได้ดีกว่า เพราะในภาพรวมนิติบุคคลจะได้เปรียบกว่าบุคคลธรรมดา และได้รับการสนับสนุน
จากมาตรการต่าง ๆ จากภาครัฐฯ

ธุรกิจควรเป็นบริษัทเมื่อไหร่?

แม้ว่าการจดทะเบียนบริษัทจะได้เปรียบในมิติต่าง ๆ ก็ตาม แต่ก็ควรจะจดทะเบียนบริษัทเมื่อมีคุณสมบัติที่เหมาะสม หรือมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอนในการก่อตั้งบริษัท
ดังต่อไปนี้

1. มีรายได้มากกว่า 750,000 บาทต่อปี
2. เริ่มมีผู้ร่วมลงทุนหลายคน
3. ต้องการสร้างเครดิตทางบัญชี สร้างความน่าเชื่อถือ
4. คาดการณ์แล้วว่าอนาคตจะเติบโตอย่างแน่นอน
5. พร้อมในการจัดทําเอกสาร หรือ มีตัวช่วยในการทําเอกสารที่เชื่อถือได้
6. พร้อมสําหรับภาระภาษีที่ต้องนําส่งหน่วยงานรัฐทุกเดือน หรือมีตัวช่วยที่เชี่ยวชาญ

หากพิจารณาแล้วว่า องค์กรมีความพร้อมก็สามารถดําเนินการจดทะเบียนบริษัทได้ในปัจจุบันยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า การจดทะเบียนบริษัทเป็นเรื่องยุ่ง
ยากและซับซ้อน ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด


จดทะเบียนบริษัทยุ่งยากจริงหรือไม่?

ประเด็นที่มักถูกเข้าใจผิด เกี่ยวกับการจดทะเบียนบริษัท แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่

1. จดบริษัทแล้วมีโอกาสหลบภาษียากขึ้น เริ่มต้นจากแนวคิดว่า ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาจะมีโอกาสถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากรน้อยกว่า และสามารถใช้สิทธิ์หัก
ค่าใช้จ่ายในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบเหมาได้ด้วย ข้อเท็จจริงคือ การตรวจสอบของกรมสรรพากรนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่รูปแบบของธุรกิจว่าเป็นบุคคล
ธรรมดา หรือบริษัท (นิติบุคคล) แต่ขึ้นอยู่กับประเด็นความผิดหรือความสงสัยที่ถูกตรวจพบมากกว่า และหากพิจารณาในรายละเอียดของข้อกฎหมายต่างๆ และ
แนวทางการตรวจสอบของกรมสรรพากรแล้ว พอสังเกตได้ว่า การทําธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดานั้นอาจมีโอกาสถูกตรวจสอบมากกว่าด้วยซ้ํา เนื่องจากกรม
สรรพากรเองก็ทราบดีว่าบุคคลธรรมดาที่ทําธุรกิจนั้น มีโอกาสหลบเลี่ยงและหนีภาษีได้ง่ายกว่า ประกอบกับเงื่อนไขและความซับซ้อนของการทําบัญชีที่บริษัท
(นิติบุคคล) นั้นต้องมีการทําบัญชีและนําส่งงบการเงินรวมถึงส่งข้อมูลต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกําหนด ในขณะที่บุคคลธรรมดานั้นถูกกําหนดให้ทําบัญชีรายรับ
รายจ่ายตามแนวทางของกรมสรรพากรเท่านั้น

2. จดบริษัทแล้วต้องจัดการเอกสารต่างๆ วุ่นวายมากมาย ข้อเท็จจริง คือ เอกสารต่าง ๆ จะมากกว่าเป็นบุคคลธรรมดาจริง แต่เอกสารเหล่านั้นน่าประโยชน์ด้าน
อื่น ๆ มาให้ การเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ต้องมีเอกสารมากมาย การหักค่าใช้จ่ายในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นแบบเหมา ถ้าจดบริษัทแล้วเอกสารต่าง ๆ
ก็จะย่อมจะมากขึ้น แต่ในมุมของ “สินเชื่อ” และ “การเงิน” เนื่องจากความยุ่งยากวุ่นวายของการเตรียมเอกสารที่ว่านั้นทําให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้มี
โอกาสได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ง่ายกว่า และมีโอกาสได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ํากว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการทําธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา

นอกจากโอกาสทางด้านสินเชื่อแล้ว ถ้าหากมองไปถึงโอกาส “การเงิน” ในการลงทุนต่อยอด เช่น การขยายธุรกิจ การเติบโต ความโปร่งใสต่างๆ รวมถึงความสนใจ
ของนักลงทุน เมิ่อธุรกิจมีข้อมูลที่ละเอียดและตรวจสอบได้ ก็เป็นการสร้างโอกาสเติบโตได้อีกช่องทางหนึ่ง และการจดทะเบียนบริษัทยังทําให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูล
ทางการเงินต่าง ๆ ที่มีมาช่วยวางแผนในการตัดสินใจทางด้านการเงินต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกัน และถ้าหากมองไปยังประเด็นทางด้าน “ภาษีเงินได้” การเป็น
นิติบุคคลจะเสียภาษีน้อยกว่าการเป็นบุคคลธรรมดา เพราะอัตราภาษีเงินได้ของนิติบุคคลนั้นมีอัตราที่ต่ํากว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ก็ต้องพิจารณาถึงค่าใช้
จ่ายในการดําเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นด้วยอีกทางหนึ่ง ดังนั้น หากธุรกิจมีข้อมูลที่ถูกต้อง ย่อมจะส่งผลดีต่อการเงินและการวางแผนภาษีของธุรกิจอีกต่อหนึ่ง

3. จดทะเบียนบริษัทแล้วต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ข้อเท็จจริง คือ ไม่ว่าเราจะทําธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา หรือว่าบริษัท (นิติบุคคล) ก็ตาม ธุรกิจดังกล่าว
จําเป็นต้องยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน เมื่อมีรายได้ที่กฎหมายกําหนด คือ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจําเป็นต้องเข้าใจเรื่องของ
การตั้งราคาขายที่รวม หรือไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ให้ถูกต้องด้วย มิฉะนั้นอาจถูกกรมสรรพากรเรียกทั้งเบี้ยปรับ ค่าปรับ เงินเพิ่มต่าง ๆ ที่ธุรกิจต้องจ่ายย้อนหลัง

ดังนั้น หาก SME อยากเติบโตได้อย่างมั่นใจ มีโอกาสทางด้านสินเชื่อ เงินลงทุน ประหยัดภาษี และมีข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจ การตัดสินใจจดทะเบียนบริษัทน่าจะ
ตอบโจทย์มากกว่าการเป็นบุคคลธรรมดา และหากมองว่าธุรกิจของเรามีโอกาสเติบโตแน่ และมีโอกาสไปได้ไกลกว่านี้ ก็อย่าให้เรื่องภาษีหรือว่าความกลัวมาเป็นข้อ
จํากัดของธุรกิจอีกต่อไป